เชื่อไหมครับ ตั้งแต่เกิด สู่วันเวลาที่จำความได้ เจริญวัยตามวันเวลา จนกระทั่งอายุสามสิบกว่า ผมไม่เคยเชื่อเรื่อง
“บัญชาสวรรค์”ซึ่งที่ทุกท่านทราบกันในความหมายของ “พรหมลิขิต”
นั่นเอง ลูกผู้ชายที่มีความทระนง อาจจะดูเกินเลยไปถึงความหยิ่งจองหองกับคำว่าพรหมลิขิตด้วย
ซ้ำไป ผมตั้งใจแสวงหาวิชาความรู้เล่าเรียนเพื่อให้บรร
ลุจุดป้าหมายของชีวิต ที่ผมคิดว่าผมลิขิตเอง
ชะตาชีวิตผมเองได้ บางครั้งจังหวะชีวิตพาให้เป็น บางอย่างอยากเป็น บางอย่างอยากทำ ไม่ว่าจะเป็น ถีบสามล้อ จับกัง นักร้อง นักมวย นักศึกษา คนเขียนภาพยนตร์ ผู้กำกับภาพยนตร์ นี่คือหลายอย่างที่ผมเคยเป็นในระหว่างการเดินทางของชีวิตเพื่อมุ่งสุ่อาชีพในฝันนั่นคือข้าราชการ
ฝ่าย…ปกครอง “ปลัดอำเภอ”เป็นอาชีพและตำแหน่งที่เป็นหนึ่งในใจที่อยากเป็น ทั้งนี้ตั้งใจแล้วเรียนมหาลัยเพื่อให้สุ่จุดหมายที่เป็นหนึ่งนั่นแล้ว ก็มีจุดหักเหให้ชีวิตคิดเปลี่ยน ไปเป็นเถ้าแก่บ้านนอกเปิดโรงสีข้าวเลี้ยงหมู และย้อนกลับมาเป็นคนเขียนบทภาพยนตร์ กำกับภาพยนตร์อีกครั้ง ชีวิตผกผันหักเหอีกครั้ง ไปขับตุ๊กๆ ,ขับแท็กซี่ ,ขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ,ช่างเย็บ-ตัดเสื้อผ้าสตรี จู่ๆก็ถูกขอร้องให้ไปช่วยขับรถให้เสี่ยเจ้าของโรงงานผลิตซอส-ซีอิ๊วชื่อดัง เวลาผ่านไป 7 เดือน อาจเป็นเพราะผมเกรงใจความรวยของเจ้านายอึดอัดทุกครั้งที่ขับรถBenz s.500 ให้เจ้านายนั่ง ผลสรุปผมไม่ผ่านโปร ในตำแหน่งพนักงาขับรถประจำตัวเจ้านาย จึงถูกเปลี่ยนหน้าที่ให้ไปเป็นพนักงานขาย(เซลล์แมน) อึดอัดยิ่งกว่าขับรถเจ้าซะ อีก แต่ทำไงได้ครับ วุฒิการศึกษาปริญญาตรีก็ไม่จบ มีวุฒิติดตัวแค่การศึกษาผู้ใหญ่ระดับ 2(เทียบเท่า มศ.5)มันจะมีทางเลือกเหลือให้ผมเลือกทำอีกซักกี่อย่าง ในขณะนั้น คิดถึงหน้าที่ใหม่คือพนักงานขาย(เซลล์แมน)นั้นผมก็ไม่เคยเล่าเรียน จะให้ไปคุยไปตื้อเสนอขายสินค้าก็ไม่ชอบ แต่..อยู่ๆคำสอนของพ่อที่เคยสอนสมัยเป็นเด็ก ก่อนเข้ากรุงเทพฯก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ “ลูกผู้ชายตอ้งได้ทุกอย่างที่ดีที่ควร แล้วผลลัพธ์จะเป็นเครื่องพิสูจน์คำว่าลูกผู้ชาย”ผมจึงตัดสินใจรับหน้าที่พนักงานขาย ด้วยความที่ตัวผมเองไม่มีความรู้และประสบการณ์ในงานการตลาดและงานขาย ผมจึงมีเพียงคำพูดของพ่อเท่านนั้นที่เป็นแรงบันดาลใจ จึงหาวิธีให้ตัวเองคือ
ไม่ต้องคิดมาก ก้มหน้าก้มตาทำลุยขาย จนกระทั่งมีผลงานดีเด่น ไปเป็นพนักงานขายหน่วยเครดิต
ก็ยังใช้แรงบันดาลใจเดิมยึดคติในการทำงานแบบเดิม ผลลัพธ์คือ ผมได้ครองอันดับ 1 เป็นพนักงานขายที่ประธานบริษัท(เสี่ยคนเดียวกันที่ผมเคบขับรถให้)กล่าวขวัญถึงทุกครั้งที่มีการ
ประชุมทุกไตรมาศถูกยกให้เป็นเซลล์ตัวอย่างจนกระทั่งมีเหตุดึงดูดใจอย่างอื่นให้ผมต้องยุติการเป็นเซลล์ขายซอส-ซีอี๊ว ผลงานสุดท้าย คือ ขายทะลุเป้าที่บริษัทตั้งไว้..ถึง 114%การลาออกของผมเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะทุกผู้จัดการ แม้แต่ประธานบริษัทยื้อไม่อยากให้ออก
ตานี่แหละครับ ความเป็นคนทะนง ความทระนงของผม มันทำให้ผมต้อง เดินสู่สิ่งท้าทายใหม่ คืออาชีพ ตัวแทนขายประกัน ของบรษัทประกันชื่อดังแห่งหนึ่ง ทำได้ซักระยะ ผมต้องยอมแพ้ ยุติอาชีพนี้ด้วยความล้มเหลว
ลองย้อนกลับไปดูสิครับ ชีวิตผมเดินทางมาจนกระทั่งอายุณ.ตอนนั้น 37 ปี ผมผ่านมากี่งาน
กี่อาชีพ มีทั้งชอบและไม่ชอบ อยากเป็นและไม่อยากเป็น อยากทำและไม่อยากทำ แต่ผมก็ได้ทำมัน
เกิดคำถามใช่ไหมครับว่า สิ่งที่อยากทำก็ได้แล้ว ทำได้ด้วยทำไมไม่ทำให้ตลอด? สิ่งที่อยากเป็นทำไมไม่เดินทางหรือขวนขวายไขว่คว้าให้ถึง? สิ่งที่ไม่อยากเป็นแต่ได้เป็นและเป็นได้ดีด้วยทำไมไม่เป็นต่อ?
ตอนนี้ผมอายุ 47 ปี ย้อนกลับไป 10 ปี เมื่อผมอายุ 37 ปี ผมได้รู้คำตอบทุกคำถามที่ท่านสงสัยผมย้อนกลับดูชีวิตย้อนดูรอยทางที่ตัวเองพาชีวิตเดินผ่านมา
หลายรอบ คำตอบมันคือ คำที่ผมไม่เคยยอมรับมันเลย นั่นคือ “พรหมลิขิต”
เพราะเมื่อผมได้พบกับทางตัน หมดหวังสิ้นหวัง จึงทำอะไรแบบคนที่ผมเคยมองว่า คนสิ้นคิดสิ้นไร้ไม้ต่อ งมงาย หรือไม่ก็บ้า..คงเป็นการสั่งสอนของเบื้องบนว่าสิ่งที่ผมไม่เชื่อนั้นมีจริง…
วันหนึ่ง…ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ถือขนมผลไม้และน้ำแดง พร้อมธูปเทียน ไปไหว้ศาลเก่าๆ
ที่คนนำไปทิ้งไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ ในใจขณะนั้นสาบานครับว่าสบประมาทผู้หญิงคนนั้นตามปกติวิสัย
ของคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ก็อดที่จะตามเขาไม่ได้ จึงเข้าไปถามเขาเพ่อให้หายสงสัย และผมก็ได้รับคำตอบพร้อมรอยยิ้มแห่งศรัทธา “ที่มาไหว้ที่นี่มาไหว้แล้วดี ประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงาน ได้รับโชคลาภ ชีวิตดีขึ้น”
เมื่อปลอดคน ผมเลยลองบ้าง ยอมเป็นคนสิ้นไร้ไม้ต่อ ไร้ที่พึ่ง จึงคิดหา ขนม น้ำแดง พวงมาลัย ธูปเทียน ไหว้อย่างเขาบ้าง
“สาธุ หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าจะเป็นผีสางเทวดา เทพหรือมหาเทพใดๆก็ตามมีจริง ขอให้ชี้ทางชีวิตให้ผมเดินที ผมไม่มีทางเดินชีวิตอีกแล้ว หากเบื้องบนเป็นผู้กุมชะตาชีวิตผมจริง ขอให้ผม ได้รับรู้และทำในสิ่งที่เบื้องบนกำหนดไว้เถิด ช่วยเปลี่ยนชีวิตให้ผมดีขึ้นที”
เชื่อไหมครับ…จากวันนั้นได้พบกับปาฏิหาริย์แห่งชีวิตผมได้ฝันเห็น เทพ เทวดา และนี่เป็นอาชีพของผมเรียกว่า.. “อาชีพผีบอก”เพราะในฝัน ฝันเห็นผู้ชายร่างยักษ์ 2 คน ช่วยกันหามศาลพระภูมิเก่าๆมาแล้วขอร้องให้ผมซ่อมให้ ผมบอกว่าผมไม่เคยทำ ทำไม่เป็นและไม่ทำให้ เขาทั้ง 2 ก็ขอร้องและบอกผมว่า ผมทำได้เพราะ ผมคือคนที่ท่านบอกมา ผมก็ถามว่าท่านคือใครรู้ได้ไงว่าผมทำได้ เพราะผมไม่เคยทำ เขาทั้งสองบอกว่า ท่านนั้นคือพระพรหม แถมยังบอกว่า ผมคือช่างที่ท่านพระพรหมไว้วางใจ
ผมตื่นขึ้น ด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็นอนไม่หลับอีก จนกระทั่งความคิดหนึ่งก็เกิดขึ้น คิดถึงการซ่อมศาลในที่สุดผมก็ปิ๊งขึ้นมากับอาชีพนี้ จึงเริ่มยึดอาชีพผีบอกมาตั้งแต่วันนั้น
จนกระทั่งได้พบปาฏิหาริย์ในพอเจริญ และพัฒนาการเจริญเติบโตมาเรื่อย จนได้พบกับครู
บาอาจารย์ อย่างไม่คาดฝัน นั่นคืออาจารย์ใหญ่ที่เพิ่มความสำเร็จ สำแดงพลานุภาพให้ชื่อเสียงและ
ผลงานของผมให้เป็นที่ประจักษ์ต่อมหาชนที่ศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระอาจารย์ใหญ่ที่ผมกล่าวถึง
นั่นคือ ท่านท้าวมหาพรหม ที่ประดิษฐาน ณ.เทวสถาน(โบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้า)
เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ผมผ่านไปหน้าโบสถ์พราหมณ์ เห็นควันธูปโขมง ด้วยสัญชาตญาณของนักล่าโอกาสสไตล์เซลล์แมนพันธุ์ลุย ก็ชะเง้อมองว่าคนกำลังทำอะไรกัน สายตาก็มองเห็นศาลพระพรหมที่ประกอบด้วยกระจกหลากสีทั้งหลัง เห็นคนไหว้เยอะก็อยากไหว้บ้าง ก็เข้าไปซื้อธูปเทียนไปไหว้ เมื่อเข้าใกล้ได้เห็นว่า กระจกที่ประดับศาลนั้นมีสภาพเก่าบ้างก็หลุด เลยตั้งจิตอธิฐานว่า… “ข้าแต่ท่านท้าวมหาพรหม ลูกช้างเป็นช่างซ่อมศาล เคยฝันเห็นผีไปบอกว่าท่านท้าวมหาพรหมไว้เนื้อเชื่อใจให้เป็นคนซ่อมศาล หากความฝันนั้นเป็นจริง ขอให้ลูกช้างได้มีโอกาสรับใช้ท่าน ให้ซ่อมศาลให้ท่านใหม่ด้วยเถิด” …อธิฐานเสร็จ ผมก็เหลือบไปอ่านข้อความที่เขียนว่าเทวสถาน(โบสถ์พราหมณ์)กองพระราชพิธี สำนักพระราชวังความรู้สึกสิ้นหวังในคำอธิฐานเกิดขึ้นนทันทีขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่นี้ขึ้นกับสำนักฯคนที่จะทำการบูรณะ ต้องมาจากกรมศิลป์แน่ๆแต่เมื่อย้อนนึกถึงความฝัน นึกถึงคำพูดของผีบอกทั้งสองนายนั้น ผมตัดสินใจกลับเข้าไหว้ด้วยมือเปล่า พร้อมอธิฐานเพิ่มเติมว่า “หากลูกช้างมีบุญวาสนาตามพรหมลิขิต หากท่านพรพรหม ลิขิตชีวิให้
ลูกช้างเป็นและเจริญในอาชีพที่ทำอยู่ ขอให้ท่านพระพรหมได้ลิขิตให้ลูกช้างพบกับช่องทางใน
การติดต่อกับผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ และให้ลูกช้างได้แสดงความจงรักภักดี และขอให้การบูรณะนี้เสมือนหนึ่งการสักการะท่านพระพรหมด้วยเถิด
อธิฐานขอไปงั้นๆเพราะคิดว่ายังไงก็ไม่มีทาง แต่…เชื่อไหมครับ หลังจากนั้น 5 วัน ผมได้
รับการติดต่อจากเจ๊นฤมล เจ้าของร้านเอกศิลป์(ร้านขายศาลที่อยู่แยกไปสุพรรณฯ)เจ๊บอกว่ามีลูกค้า
จะให้ไปซ่อมศาลปิดกระจก(ในใจขณะนั้นไม่คิดแม้แต่น้อยว่าจะเป็นศาลพระพรหมที่โบสถ์พราหมณ์) ให้ติดต่ออาจารย์ยศ พร้อมให้เบอร์โทรอาจารย์ดังกล่าว ผมติดต่อไป อาจารย์ท่านนั้นนัด
ให้ผมไปดูศาล พอท่านบอกผมว่า ให้ไปดูศาลที่โบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้าเท่านั้น ผมขนลุกซู่ อึ้งอยู่นาน ก็รีบไปดูงานและเจออาจารย์ท่านดังกล่าว ท่านคือ พราหมณ์ยศเป็นพราหมณ์พิธีอยู่ในเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ ซึ่งขณะนนี้ท่านได้เลื่อนยศเป็น พระครูสิทธิชัยบดีและเป็นประธานมูลนิธิเจ็ดมหาเทพ ผมได้รับความเมตตาและนับท่านเป็นพราหมณาอาจารย์คนแรก ผมได้รับพิจารณาให้บูรณะศาลพระพรหมดังกล่าวผมใช้เวลาบูรณะ บรรจงติดกระจกและปิดลงไปตามริ้วลายบนศาล
เวลาผ่านไปเกือบเดือนผมยังไม่หายทึ่งและปิติกับเมตตาบารมีของท่านท้าวมหาพรหม ผมก็ได้รับงานใหญ่เหนือความคาดหมายของช่างซ่อมศาล อยู่ๆก็มีเจ้าของโรงพยาบาลเอกชัย ที่บังเอิญเข้าไปที่โบสถ์พราหมณ์ได้ให้พนักงานผู้ช่วยพราหมณ์มาเรียงคิวและให้เสนอแบบและ
ราคาสร้างศาลพระพิมเนศวรประจำโรงพยาบาล
นี่เป็นการตอกย้ำปาฏิหาริย์แห่งชีวิต และยิ่งทำให้ผมเชื่อในพรหมลิขิต และอภินิหารฤทธินุภาพ เดชานุภาพ และพลานุภาพ แห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์
และ ณ.ที่โบสถ์พราหมณ์แห่งนี้ ผมได้มีโอกาสพบกับท่านพระราชครูวามเทพมุนี้ หัวหน้าพราหมณ์คนปัจจุบัน ท่านได้มอบความเป็นสิริมงคล ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต เสมือนหนึ่งว่าเป็นสิริมงคลที่เปลี่ยนชีวิตเสริมส่งให้ลิขิตแห่งมหาพรหม ชัดเจนขึ้น และทำให้ผมเชื่อมั่นว่า ในสิ่งที่ผมเป็นอยู่ คือ พรหมลิขิตที่แท้จริง
จากวันนั้น ผมได้ทุ่มเททั้งกายทั้งใจและศรัทธารับใช้ทั่วทุกหนทุกแห่งในการซ่อมศาล
และเมื่อเวลาผ่านมา เมื่อ 2549 ผมได้เรียนรู้พัฒนา และได้อิทธิบารมีแห่งมหาเทพ
มหาเทวะ ดลบับดาลประสิทธิ ประสาท ให้ผมได้มีโรงงานและร้านขายศาลเป็นของตัวเอง ได้รับการยอมรับจากลูกค้าและการบอกกล่าวปาดต่อปาก จากรายเล็ก สู่รายใหญ่ จากรายใหญ่ ไปสู่รายใหญ่อื่น
ต่อมา 2552 ผมได้รวบรวมประสบการณที่ได้จากครูบาร์อาจารย์ทั้งโหราจารย์ และ
พราหมณาจารย์ ทั้งไทยและฮินดู และได้รับการประสิทธิ์ประสาท ศาสตร์ในพิธีการตั้งศาลอัญเชิญพระภูมิ อัญเชิญมหาเทพต่างๆ เมื่อมีลูกค้าที่มีงบค่าใช้จ่ายน้อยให้ผมช่วยประกอบพิธีให้ ผมก็ได้ทำให้อย่างตั้งอกตั้งใจ
จนปัจจุบัน ผมได้เป็นที่รู้จักในนาม อาจารย์สัมมาหัตตาพรหม ซึ่งเป็นคนเดียวและคนแรกที่ เป็นช่างซ่อมศาล เป็นช่างออกแบบและผลิตศาลทุกชนิด มีทีมงานจัดเครื่องไหว้บวงสรวง และเป็นอาจารย์(พราหมณ์ผู้ประกอบพิธีบวงสรวง ตั้ง ถอน และย้ายศาล) ครบวงจร จนสามารถกล่าวได้ว่า “ครบเครื่องศาล” หรือ One Stop เรื่องศาลมีครบ จบได้ที่เราที่เดียว เพราะเราคือ
“สัมมา”(สิบหมู่ช่างศิปาชีพฅนสร้างศาล)
ติดต่อสัมมาศาลได้ที่ https://www.facebook.com/summasal/