“ ชีวิต…ไม่ว่าจะสั้นหรือยาว
ไม่สำคัญ สำคัญตรงที่การมีชีวิตอยู่
อย่างมีความหมาย”
ชีวิตคืออะไร….
ทำไมต้องฝันจะเป็นในสิ่งที่ไกลเกินจะไขว่คว้า
มันเป็นคำถามที่ผมเคยถามตัวเองในห้วงเวลาที่ความฝันนั้นมันห่างไกลเกินกว่าผมจะไขว่คว้า…
ในห้วงเวลาที่ความฝันนั้นมันเป็นเพียงภาพที่ตัวผมเองใช้เป็นสารกระตุ้น
ให้หัวใจแกร่งและมีความหวังอย่างเลือนลาง
งานเขียนชิ้นนี้ มันเป็นคำบรรยายจากปลายปากกาหัวใจและชีวิตของผม
มันอาจดูน้ำเน่าหรือไร้สาระสำหรับใครบางคน แต่มันก็ยัง
เป็นน้ำดี ที่ใสบริสุทธิ์สำหรับเจ้าของงานเขียน ทั้งที่ความจริงยอมรับว่ามีน้ำเน่า แต่มันก็คือบทบันทึกหรือคำบรรยายอันบริสุทธิ์ ที่ออกจากห้วงแห่งความรู้สึกในขณะวันเวลาที่เปลี่ยนไปโดยไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ นอกจากคำบรรยายจากปลายปากกา(หัวใจ)
คำบรรยายหรือบทบันทึกเหล่านี้…..ผมบันทึกตั้งแต่สมัยเป็นสามเณร (2544-46) จากแรงบัลดาลใจแห่งความใฝ่ฝัน….จากความจริงของชีวิตที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน ไม่ต่างอะไรกับอยู่ในสมรภูมิรบ มันคือบทละครของชีวิตที่ไม่มีสิทธิ์เลือกเดินตามทางที่ตนเองใฝ่ฝันเลย
การเดินทางที่ปราศจากความปรารถนา และความศรัทธาต่อเส้นทางที่เลือก
มันอาจจะเป็นเหมือนสนามรบที่ต้องพยามสุดแรงของชีวิต เพื่อเอาตัวรอด
การเรียนบาลี หรือการศึกษาทางธรรมบาลี เป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับชีวิตผม
แต่มันก็เป็นสนามรบให้ผมทดสอบความแข็งแกร่งกว่าจะสอบผ่านแต่ละชั้น กว่าจะได้เป็น “มหา”
เลือดตาแทบกระเด็น
ในขณะที่ผมอยู่ในสนามรบนั้น ผมเจอกับสิ่งดีและร้ายพอๆกัน แต่ผมคงไม่โทษหรอกว่ามันเกิดอะไร
เพราะตัวผมเองก็มีส่วน มีส่วนตรงที่ผมไม่ค่อยยอมใคร ในเรื่องที่คนไม่ยอมเข้าใจคนและไม่ค่อยจะเป็นธรรมสักเท่าไร
ปัญหาที่ผ่านเข้ามาในชีวิตนั้น ผมไม่เคยใช้กำลังตอบโต้หรือใช้กำลังแก้ปัญหา
แต่ผมจะนิ่งหรือช่างมัน ช่างมันในที่นี้ไม่ใช่ว่าผมไม่มีเหตุผล แต่ผมพยามนิ่งเพื่อหาเหตุผล
เพื่อที่จะพยายาม เข้าใจธรรมชาติของคนที่กำลังมีอะไรที่ไม่สร้างสรรค์ กับความรู้สึกที่เรียกว่า “ดี”
กับเราจากนั้นมันก็จะกลายเป็นคำบรรยายหรือบทบันทึกของชีวิต
ประสบการณ์คือ ความทรงจำอันล้ำค่าของชีวิต
คือบทละครชีวิตที่ผมบันทึกไว้ในแผ่นฟิล์มหัวใจ
อาจจะมีบ้างที่ดูเหมือนน้ำเน่า มันก็คงไม่แปลกเท่าไร
เพราะชีวิตจริงของคนเรามันก็มีทั้งเน่าและดีคลุกเคล้ากันไป
สำคัญตรงที่หัวใจ…หากเราคิดว่ามันเน่า แท้จริงหัวใจเราอาจเน่ายิ่งกว่า
**บันทึกเมื่อปี 2550