ณ วัดสว่าเวฬุวัน บ้านห้วยไผ่ อ.โขงเจียม จ.อุบลฯ
————————–
มีหลายคนถามผมว่า สึกมาทำไม…..?
ส่วนมากผู้หญิงชอบถาม
ผมก็จะตอบแบบทะลึ่ง ๆ หน่อย “สึกออกมาโปรดสีกา…555”คือผมทำตามปณิธานของชีวิตตั
ปี พ.ศ. 2539 ผมบวชเป็นสามเณร
และตั้งปณิธาน ตั้งเป้าหมายไว้ว่า
จะอยู่ในผ้าเหลือง จะบวชเรียนเขียนอ่าน
ภายในอายุไม่เกิน 25 ปี ถ้าเกินจะไม่สึกเด็ดขาดและผมก็ทำได้ตามนั้น
คนที่บวชนาน ๆ แล้วตัดสินใจสึก
บางครั้งเหมือนจะออกสนามรบเ
หรือ เป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุ
ไม่สนหน้าอินหน้าพรหมที่ไหน
ทั้ง ๆที่ไม่มีอะไรพร้อมสักอย่าง
ในนามเด็กบ้านนอก พลัดถิ่น
มีเพียงความฝันเท่านั้นที่พ
เต็มเปี่ยมในกล่องดำของชีวิ
เงินทองก็ไม่มี” หลวงพี่ห้องข้าง ๆกล่าวเป็นห่วง
ตอนนั้นเรียน ปสว. เทคนิคกรุงเทพฯ เทอมสุดท้าย
หลายคนสงสัยว่าทำไมผมไม่เรี
เพราะในใจลึก ๆวางแผนไว้หมดแล้ว
เรารู้อยู่คนเดียว ว่า ปณิธาน ….ที่ตั้งไว้วันแรกว่าอย่
อีกอย่าง ไม่มีคณะ สาขาที่ชอบเลย
เพราะใจรักมาทางโลกมากว่า เช่น
คณะบริหารธุรกิจ, การจัดการ, การตลาด
และไอที เทคโนโลยี่ต่าง ๆ
คือผมคิดว่า ถ้าเราจะออกมาสู่โลกภายนอก
จะแข่งขันกับโลกภายนอก จะเป็นที่ 1 หรือที่ 2
เราต้องรู้ เราต้องเก่งพวกนี้ เราต้องทำได้
“เกิดเป็นคน ควรพยายามจนกว่าจะประสบความ สำเร็จ” พระพุทธวจนะ
ผมคิดว่าแม้เราจะเป็นคนจน พลัดถิ่น
แต่จุดแข็งของเราก็คือ ความอึด…..
ความอดทน….ความพยายาม….
ผมคิดเสมอว่า พ่อแม่ทำนาลำบากตรากตรำกว่า
หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน อุตสาห์หอมสังขารบากหน้ามาไ
ถ้าเอาดีไม่ได้ … มันคือความล้มเหลวที่สุดของ
ไม่ใช่เราล้มเหลวคนเดียว พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ลุงป้าน้าอา
เสียชื่อลูกแม่น้ำโขง แห่งมหานทีสีพันดอน
ยากที่จะให้อภัยได้
เอาความดี คือธรรมะที่ร่ำเรียนมาเป็นเ
สิ่งเหล่านี้ต้องมีอย่างเสม
ถ้ามีขาด ๆ เกิน ๆ ความสำเร็จเกิดยาก